สรุปฎีกา
ฎีกานี้วินิจฉัยประเด็นว่าสุนัขของจำเลยเป็นสัตว์ดุตามความหมายของประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 377 หรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่า โดยปกติสุนัขเป็นสัตว์เลี้ยง แต่อาจเป็นสัตว์ดุได้โดยธรรมชาติของมันเอง ซึ่งเจ้าของจะต้องควบคุมดูแลเป็นพิเศษกว่าปกติธรรมดา เช่น การล่ามโซ่หรือขังกรงไว้ หากปล่อยปละละเลยก็อาจทำอันตรายแก่บุคคลหรือทรัพย์ผู้อื่นได้
ในคดีนี้ ข้อเท็จจริงปรากฏว่าสุนัขของจำเลยเคยกัดเป็ดของผู้เสียหายมาก่อนแล้วหลายครั้ง และครั้งที่เกิดเหตุนี้สุนุขของจำเลยไปกัดเป็ดของผู้เสียหายตายและบาดเจ็บหลายสิบตัว ถือได้ว่าเป็นสัตว์ดุตามความหมายของประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 377 ตามที่โจทก์ฟ้อง ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าสุนัขของจำเลยเป็นสัตว์ดุและพิพากษาลงโทษจำเลย ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย
ฎีกาตัวเต็ม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 162/2533 ปัญหาว่าสุนัขของจำเลยเป็นสัตว์ดุตามความหมายของประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๗๗ หรือไม่ เห็นว่าตามปกตินั้น สุนัขเป็นสัตว์เลี้ยง แต่ก็อาจเป็นสัตว์ที่ดุได้โดยธรรมชาติของสัตว์นั้นเอง หากเป็นสุนัขที่ดุเจ้าของจะต้องควบคุมดูแลเป็นพิเศษกว่าปกติธรรมดา เช่นล่ามโซ่หรือขังกรงไว้ +ปละละเลยก็อาจไปทำอันตรายแก่บุคคลหรือทรัพย์เช่นสัตว์เลี้ยงของผู้อื่นได้ ทั้งนี้ต้องดูพฤติการณ์เป็นเรื่อง ๆ ไป เฉพาะคดีนี้ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงเป็นยุติแล้วว่าสุนัขของจำเลยเคยกัดเป็ดของผู้เสียหายมาก่อนแล้วหลายครั้ง และครั้งที่เกิดเหตุนี้สุนุขของจำเลยไปกัดเป็ดของผู้เสียหายตายและบาดเจ็บหลายสิบตัว ถือได้ว่าเป็นสัตว์ดุตามความหมายของประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๗๗ ตามที่โจทก์ฟ้อง ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าสุนัขของจำเลยเป็นสัตว์ดุและพิพากษาลงโทษจำเลย ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย